หน้าฝนมาเยือนทีไร หลายคนแทบจะต้องร้องไห้กับการทำความสะอาดและกลิ่นอับในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นจากตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำ หรือแม้แต่บนผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งใช้ ความชื้นนี่แหละตัวดีที่ทำให้บ้านจากที่ควรเป็นมุมพักผ่อน กลายเป็นดงเชื้อรา! แต่ว่าไม่ต้องกังวลไปนะ เพราะเราจะพาคุณไปสำรวจแบบสนุก ๆ พร้อมวิธีจัดการกลิ่นอับให้สิ้นซาก!
ช่วงหน้าฝน ความชื้นในอากาศพุ่งสูงขึ้นแบบไม่มีเบรก ทำให้ทุกซอกทุกมุมในบ้านมีความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและกลิ่นไม่พึงประสงค์
ใครที่ชอบปิดประตูหน้าต่างแน่นหนาในช่วงฝนตก อาจจะต้องเปลี่ยนนิสัยซะหน่อย เพราะไม่มีลมเข้า ไม่มีอากาศถ่ายเท กลิ่นอับก็เลยสะสมได้ง่าย
กลิ่นอับอาจทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด ไม่สดชื่น ส่งผลต่อสุขภาพจิตได้โดยที่เราไม่ทันสังเกต
เชื้อราและฝุ่นในอากาศที่ชื้นเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสารก่อภูมิแพ้และโรคทางเดินหายใจต่าง ๆ
ตู้เสื้อผ้า: เสื้อผ้าชื้นๆ บวกกับการปิดตู้ไว้ กลายเป็นจุดอับชื้นอันดับหนึ่ง
ห้องน้ำ: ความชื้นสูงและการถ่ายเทอากาศไม่ดี
ห้องครัว: กลิ่นอาหาร+ความชื้น เท่ากับกลิ่นอับแน่นอน
พื้นที่ซักล้าง: ผ้าที่ตากไม่แห้งเต็มที่นี่แหละ จุดเริ่มต้นของปัญหา
แค่ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำแล้วฉีดพ่นตามจุดต่าง ๆ ช่วยลดกลิ่นได้ดีเยี่ยม
โรยเบกกิ้งโซดาในตู้หรือพื้นที่อับกลิ่น ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วทำความสะอาด กลิ่นหายแน่นอน
วางถ่านไม้ไผ่ไว้ในตู้เสื้อผ้าหรือมุมห้อง ก็ช่วยดูดความชื้นและกลิ่นได้ดีสุดๆ
ใช้พัดลมหรือเครื่องอบผ้าแบบลมร้อนช่วยตากผ้า หรือแขวนผ้าในที่มีลมโกรก
เลือกสูตรที่มีสารเคลือบใยผ้า เพิ่มความหอมและช่วยลดกลิ่นอับได้
ฟอกกลิ่นไม่พึงประสงค์ พร้อมกรอง
ฟอกกลิ่นไม่พึงประสงค์ พร้อมกรองฝุ่น PM2.5 เชื้อรา และแบคทีเรียในอากาศ แถมยังช่วยให้บ้านหอมสดชื่นขึ้นด้วย เท่ากับได้สองเด้งในเครื่องเดียว
ถ้าบ้านคุณเป็นสายชื้นชอบฝน ต้องมีเครื่องลดความชื้นติดบ้านไว้เลย เพราะมันช่วยดูดความชื้นออกจากอากาศ ไม่ให้เชื้อราหรือกลิ่นอับมีโอกาสโตได้
การใช้เทียนหอมหรือสเปรย์กลิ่นลาเวนเดอร์ มะลิ หรือเลมอน ช่วยให้บ้านมีกลิ่นหอมสดชื่นทุกมุม และยังสร้างบรรยากาศให้รู้สึกผ่อนคลายด้วย
การวางแจกันดอกไม้สด เช่น กุหลาบ ลิลลี่ หรือยูคาลิปตัส ไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงาม แต่ยังช่วยกลบกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดีทีเดียว
เสื้อผ้าที่เปียกหรือใส่มาทั้งวัน อย่าปล่อยไว้ในตะกร้าซักนาน ๆ เพราะกลิ่นจะหมักหมมจนซักไม่ออก
เปิดหน้าต่างบ้างในช่วงที่ฝนหยุด เพื่อให้อากาศถ่ายเท ไม่งั้นกลิ่นอับจะสะสมโดยไม่รู้ตัว
แสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา แค่เปิดผ้าม่านให้แสงส่องเข้าบ้านบ้าง ก็ช่วยลดกลิ่นอับได้เยอะ
โดยเฉพาะพรม ผ้าม่าน หรือเบาะนั่ง วางไว้ให้แสงแดดโดนบ้างเพื่อให้แห้งและไม่เกิดกลิ่น
การวางของแน่นเกินไปในตู้หรือห้องทำให้อากาศไม่ไหลเวียน ควรจัดของให้มีช่องว่างระบายอากาศบ้าง
หลีกเลี่ยงกล่องพลาสติกปิดแน่นๆ ใช้กล่องผ้าหรือกล่องที่มีรูระบายอากาศแทน เพื่อป้องกันกลิ่นอับในกล่อง
ถึงแม้จะยุ่งแค่ไหน แค่จัดตารางให้มีวันทำความสะอาดประจำสัปดาห์ จะช่วยลดกลิ่นอับและทำให้บ้านน่าอยู่ขึ้น
ป้องกันดีกว่าแก้ไข ถ้ารอจนกลิ่นมาแล้วค่อยลงมือทำ อาจต้องเสียเวลามากกว่าเดิมหลายเท่า!
ผ้าปูที่นอน ซักสัปดาห์ละครั้ง กลิ่นจะหอมและนอนหลับสบายยิ่งขึ้น แถมยังลดโอกาสเกิดไรฝุ่นด้วยนะ
สิ่งเหล่านี้เก็บกลิ่นได้ดีมากโดยเฉพาะในหน้าฝน ควรซักหรืออบแห้งทุกเดือนเพื่อป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์
ใครว่าเช็ดถูจะต้องน่าเบื่อ? เปิดเพลงโปรดแล้วแดนซ์เบาๆ ไปด้วย รับรองว่าสนุกเหมือนได้ออกกำลังกาย!
เปลี่ยนการทำความสะอาดให้เป็นกิจกรรมครอบครัว แบ่งหน้าที่ให้ลูกๆ หรือแฟน ทำให้บรรยากาศเบาสบาย ไม่เหนื่อยคนเดียว
การได้เข้าบ้านแล้วเจอกลิ่นหอมสดชื่น เปรียบเหมือนการได้พักในโรงแรมหรูทุกวัน
บ้านที่สะอาดช่วยให้ใจโล่ง สมองปลอดโปร่ง เหมือนล้างพลังลบออกไปจากชีวิต
หน้าฝนไม่ใช่ศัตรู ถ้าเรามีการดูแลบ้านและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ใช้ตัวช่วยอย่างน้ำส้มสายชู เบกกิ้งโซดา หรือเครื่องฟอกอากาศ ก็สามารถเอาชนะกลิ่นอับได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ ทุกวัน จะช่วยให้บ้านของคุณหอม สดชื่น และน่าอยู่แม้ในวันที่ฝนตกพรำๆ
เพราะความชื้นในอากาศทำให้ผ้าแห้งช้า และเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่น
จริง! เบกกิ้งโซดาช่วยดูดกลิ่นและความชื้นจากอากาศได้ดีมาก
แนะนำให้ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และเพิ่มความถี่ในจุดที่ชื้นง่าย เช่น ห้องน้ำ
เหมาะกับทุกบ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีปัญหาความชื้นสะสมหรือไม่มีแสงแดดเพียงพอ
ช่วยได้บางส่วน แต่แนะนำให้กำจัดต้นตอของกลิ่นก่อน แล้วค่อยใช้เพื่อเพิ่มความหอมจะได้ผลดีที่สุด